วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Photo Collage


           Photo Collage เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับแต่งภาพด้วยการนำภาพ  หลายๆ ภาพมารวมกันเป็นภาพเดียว เหมือนที่เพื่อนๆ คงจะเคยเห็นมีคนแชร์บนเฟส หรือ IG นั่นแหละครับ โดยแอพนี้มีจุดเด่นอยู่ที่มีกรอบรูปที่หลายหลาย แถมยังสามารถนำภาพที่อยู่บนเฟสมาใช้ได้ด้วย
          โปรแกรมแต่งภาพขั้นเทพ Photo Collage สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายดิจิตอลเดิมๆของท่านให้กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอก โดยสามารถปรับแต่ง แก้ไข ใส่ลูกเล่นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โปรแกรมนี้สามารถพิมพ์ข้อความรูปแบบเก๋ๆหลากหลายสไตล์ ปรับสี ปรับแสงสว่าง ความคมชัดของภาพ แก้ไขขนาดภาพ ใส่กรอบหรือเฟรม การรีทัช การใส่ฟิลเตอร์ เพิ่มความคมชัดหรือเบลอให้กับรูปภาพเป็นต้น โดยเลือกแม่แบบ (Template) ที่มีไว้ให้ในตัวโปรแกรมมากกว่า 50 รูปแบบ Photo Collage ให้คุณเลือกตกแต่งได้ตามจินตนาการของท่านเอง นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวมภาพถ่ายล้ำค่าของคุณจัดเก็บไว้เป็นอัลบั้มสวยๆไว้ให้เพื่อนๆได้ดูด้วยครับ

คุณสมบัติของแอพ Photo Collage
- แก้ไขภาพตัดปะภาพ ช่วยให้คุณสามารถ สร้างภาพ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยใช้ภาพถ่ายของคุณ สติกเกอร์ สนุก , พื้นหลัง , ข้อความที่มีตัวอักษรและกรอบ
- แก้ไขภาพตัดปะภาพ จะช่วยให้ คุณรวม ภาพถ่ายหลายภาพ และแบ่งปัน พวกเขาในเวลา
- แก้ไขภาพตัดปะภาพ แพ็คออกแบบที่เรียบง่าย กับการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ ที่จะให้ ทุกอย่างที่คุณ อาจจะต้องการ Collage ภาพ ของคุณ ที่น่าอัศจรรย์เพียง

วิธีการดาวน์โหลด App Photo Collage
1.เข้าไปที่ App Store


2.พิมที่ช่องค้นหาใน App Store ว่า Photo Collage


3.กด รับ เพื่อติดตั้งแอพ


4.เมื่อดาวน์โหลดเสร็จจะได้แอพแบบในรูปมา



การใช้งานแอพ Photo Collage เบื้องต้น
- เปิดแอพและเลือกรูปแบบที่ต้องการ


- เมื่อเลือกรูปแบบที่ต้องการแล้วจะได้หน้าจอแบบนี้


- ตัวเลือกต่างๆ
1.เพิ่มรูปภาพ                       2.กลับไปเลือกรูปแบบ
3.ปรับขนาดของภาพที่ใส่เช่นย่อขยายภาพ , ใส่เงาพื้นหลังเป็นต้น
4.เลือกกรอบ                       5.เลือกสติ้กเกอร์ใส่ในรูปภาพ



ตัวอย่างการแต่งรูปด้วยแอพ Photo Collage

   





วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Camera 360

Review Camera 360

          “ Camera360 เป็นแอพถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมอย่างสูงบนระบบ Android และ iOS ได้ประกาศความสำเร็จในการระดมทุนในรอบ Series B ซึ่งเป็นผลให้ทาง Camera360 นั้นมีเงินทุนแตะหลัก 18 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว โดยในการระดมทุนรอบใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากกลุ่มบริษัท SIG (Susquehanna International Group) ของประเทศจีน และความร่วมมือจากผู้ลงทุนรายเดิมอย่าง   Gobi Partners และ Matrix Partners”
      แอพยังมีความสามารถที่น่าทึ่งอีกมากมาย เช่น คุณสามารถใส่ฟิลเตอร์ลงไปได้เป็นสิบแบบเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับภาพของคุณ สร้างเลเยอร์ ใส่พื้นผิว ใส่เอฟเฟ็คทิลท์(กำหนดส่วนที่ชัดและเบลอให้กับภาพตามต้องการ) ใส่กรอบที่มีเอกลักษณ์ หรือลูกเล่นที่สนุกสนานอีกมหาศาลเมื่อจัดการภับถาพถ่ายเสร็จแล้ว คุณสามารถแชร์ผ่านทางเฟสบุคได้อย่างง่ายดาย หรือจะบันทึกลงในหน่วยความจำของโทรศัพท์ เพื่อส่งทางอีเมลหรือทางอื่นๆ ตามต้องการในภายหลังได้

     วิธีการติดตั้ง

1.เข้าไปที่ App Store 


2.พิมที่ช่องค้นหาว่า Camera 360


3.กดติดตั้งและรอจนดาวน์โหลดเสร็จ


4.เมื่อดาวน์โหลดเสร็จจะได้แอพแบบในภาพ



     ข้อมูล App Camera 360
         เปิดแอพ Camera360 ขึ้นมาครั้งแรกก็มีแนะนำฟีเจอร์ใหม่ๆก่อน ซึ่งก็เป็นฟังก์ชั่นการถ่ายภาพปกติ แต่จะมีฟังก์ชั่นหลากหลายให้ใช้งานเลยมีชื่อเอฟเฟ็คต์ที่เราใช้งานอยู่แสดงส่วนบนของอินเตอร์เฟส พร้อม ปุ่มแฟลช และสลับกล้อง ส่วนด้านล่างก็จะมีฟีเจอร์ด้านกล้อง กับเอฟเฟ็คต์ให้เลือก พร้อมปุ่ม Settings และอัลบั้มภาพ ตัวกล้องพิเศษหน่อย แตะโฟกัสแล้วลากจุดวัดแสงไปตำแหน่งอื่นได้ครับ
หน้าตาของแอพเมื่อเปิดใช้งาน



- ฟังก์ชั่นต่างๆในขณะถ่ายภาพ
  ฟังก์ชั่นกล้องก็มีทั้งโหมดการถ่ายแบบธรรมดา,แบบกันมือสั่นไหว,แบบตั้งเวลาถ่ายและถ่ายต่อเนื่องนอกจากนี้ยังมีรูปแบบภาพ 2-Grids,4-Grids,Stripes และ DoubleEx ซึ่งเป็นการถ่ายภาพลงเฟรมแบบที่เลือก มีกี่เฟรมก็ต้องถ่ายภาพลงไปเท่านั้น
  1.กลับไปหน้าเริ่มต้นของแอพ       2.สลับกล้องหน้าและกล้องหลัง
  3.ดูรูปจากอัลบั้ม                        4.ปุ่มถ่ายภาพ
  5.เลือกเอฟเฟ็คต์  
  6.เลือกรูปแบบการถ่าย เช่น ถ่ายแบบตั้งเวลา,ถ่ายเวลากลางคืน,เปิดแฟลชและปรับสัดส่วนของภาพเป็นต้น



 Effectของโปรแกรม Camera360

None เป็นเอฟเฟคปกติ คือไม่ตกแต่งภาพใด ๆ 
Random อันนี้จะสุ่มเอฟเฟคต่าง ๆ ให้เราเอง 
Enhancement จะแต่งภาพให้สีสันสดใส หรือปรับอุณหภูมิของภาพได้ด้วย ใครชอบสีสด ๆ ก็ฟังค์ชั่นนี้เลยครับ
Magic Skin ไร้สิว ไร้ฝ้า กระ รอยด่างดำ ยังกะไปทำเลเซอร์มา หน้าใสกิ้ง หรือปากแดงเหมือนถูกตบ
LOMO ใครชอบภาพแบบเจ้ากล้องโลโม่ หรือ แนวอาร์ตนิดๆ ขอบอกว่าโหมดนี้อ่ะใช่เลย
Light Color เอฟเฟคนี้ใครชอบภาพแบบมีแสงสาดเข้ามา หรือชอบแนววินเทจนิดๆ ตัวนี้เลยครับ
HDR  ใครอยากให้ท้องฟ้าสว่างสดใส ฟ้าเป็นฟ้า ไม่หมองมัว แต่รังวังฟ้าจะออกเ็ป็นสีม่วงนิด ๆ น่ะครับ 
Retro ใครชอบถ่ายรูปแนวย้อนยุครำลึกความหลังสมัยมาดอนน่ายังสาว เอลวิสเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ขอบอกว่า effect นี้ใช่มากๆๆ
Sketch เอฟเฟคนี้ใครอยากสวมวิญญาณเป็นจิตรกร หรืออยากมีรูปวาดของตัวเองแบบสวยๆเก๋ๆ ประหนึ่งว่าไปจ้างปิกัสโซ่มาวาดให้ จัดไปเลย
ColorFul  แต่งแสง สีให้สดใสแปลกตา จัดเต็มทุกเฉดสีให้เลือก
Dreamlike  ใครชอบภาพสไตล์ชวนฝัน ฟุ้งๆเบลอๆ effect นี้ช่วยได้ สวยแบบเบลอ ๆ เหมือนนางในฝัน ชายในฝัน
1839 เอาใจคนแก่โดยเฉพาะ คุณจะได้ภาพแนวโบราณ ๆ เข้ากันอายุทันที
Funny เอฟเฟคนี้จะ สร้างภาพมาแบบตลกๆๆ สามารถทำภาพแนว pop art ได้ด้วย
Ghost การจะอธิบายเอฟเฟคนี้ ให้ไปติดตามภาพถ่ายติดวิญญาณจากข่าวในทีวี หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์ได้
Magic Color  เอฟเฟคนี้จะออกแนวดึงสีที่เราชอบขึ้นมาแล้วปรับให้สีตัวอื่น drop ลงหรือค่อนไปทางโทนขาว-ดำ
Black&white  ตัวนี้จะทำให้ภาพเราออกเป็นแนวโทนขาว-ดำ 
Tilt-Shift สร้า้งจุดเด่นของภาพแล้วเบลอสิ่งรอบข้าง เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการโดดเด่นขึ้นมา 
Huge Head ตามชื่อเลย ใครอย่างหัวโต หัวบาน เอาฮาตลก ๆ กันก็ตามแต่สะดวกครับ  



วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

iPhone 5

iPhone 5 (ไอโฟน 5)


การดีไซน์โดยรวม      
iPhone 5 นั้น เมื่อมองส่วนขอการออกแบบโดยรวมจะพบว่าคล้ายคลึงกับ iPhone 4S อยู่พอสมควรที่เห็นได้ชัดก็เช่นเรื่องของปุ่มกดควบคุมเสียงด้านข้างตัวเครื่องซึ่งยังคงสไตล์เดิมที่ใช้งานได้ดีเอาไว้
ทีนี้เรามาดูด่านกายภาพของตัวเครื่องกันบ้าง iPhone 5 เป็น iPhone ที่ Apple บอกว่าเป็น iPhone ที่บางเบาที่สุดเท่าที่เคยทำ โดยมีความหนาของเครื่องอยู่ที่ 7.6 มิลลิเมตรและมีน้ำหนักเพียง 112 กรัมเท่านั้น


ข้อมูลเครือข่าย (Network)
• เครือข่าย 
   - GSM 850/900/1800/1900 MHz
   - CDMA 800/1900/2100 MHz
   - CDMA2000 1xEV-DO Rev A, CDMA2000 1xEV-DO Rev B
• เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
   - 2G: EDGE/GPRS 
   - 3G: HSPA+ 42 Mbps, HSDPA 21 Mbps 
   - 4G: LTE DL 100 Mbps
• ใช้งาน Nano-SIM

ข้อมูลตัวเครื่อง
• สมาร์ทโฟน (โทรศัพท์มือถือพร้อมระบบปฏิบัติการ)
• จอแสดงผล IPS-LCD 16 ล้านสี 
   - ระบบสัมผัส Multi-Touch
   - กว้าง 4 นิ้ว (แนวทะแยง)
   - ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล 
   - Capacitive 
   - ป้องกันรอยนิ้วมือ (Anti-fingerprint display coating)
• ระบบเซ็นเซอร์ (Sensor) 
   - ตรวจจับแสงปรับความสว่างอัตโนมัติ (Ambient light) 
   - ตรวจจับความเคลื่อนไหวของตัวเครื่อง (Accelerometer) 
   - ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity) 
   - ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ 3 แกน (Three-axis gyroscope)





ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)
• ระบบปฏิบัติการ: iOS 6
• หน่วยประมวลผล : Dual Core
   - ความเร็ว : 1.3 GHz
• หน่วยความจำ 16 GB (ตัวเครื่อง)
   - RAM 1GB

ระบบเชื่อมต่อ
• การหาตำแหน่ง: 
   - รองรับแอพพลิเคชั่น Geotagging
• WiFi 802.11b/g/n/a
• Bluetooth 4.0 
   - รองรับชุดหูฟังสเตอริโอ (A2DP Bluetooth™ Stereo)
• USB Port
• ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร











ใช้งานอินเตอร์เน็ต
• รองรับภาษา HTML

ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
• กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
   - พร้อมแฟลช LED
   - โฟกัสอัตโนมัติ (Auto Focus)
   - แตะเลือกจุดโฟกัส (Touch Focus)
   - ค้นหาใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)
   - โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า (Panorama)
• กล้องหน้า (Front Camera)
   - ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
   - รองรับ Video Call สนทนาแบบเห็นภาพ
• บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
   - ความละเอียด HD 1920 x 1080 พิกเซล
• เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง 
   - รองรับวีดีโอจาก YouTube™

การโทร และ ฟังก์ชั่นพื้นฐาน
• แสดงรูปถ่าย ขณะมีสายเข้า (Photo CallerID)
• แฮนด์ฟรีในตัว (Build-In Handsfree)
• ออร์กาไนเซอร์
   - ปฏิทิน, เครื่องคิดเลข, นาฬิกาปลุก, จับเวลา, นับถอยหลัง
• ริงโทน Polyphonic, MP3 
   - ระบบสั่น (Vibration in Phone)

ราคา
   - iPhone 5 16GB เครื่องเปล่า 24,555 บาท
   - iPhone 5 32GB เครื่องเปล่า 28,555 บาท
   - iPhone 5 64GB เครื่องเปล่า 31,955 บาท








วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ระบบปฏิบัติการ Android

Android คืออะไร?
          วิธีที่จะเข้าใจว่า Android (แอนดรอยด์) อย่างง่ายๆให้เราลองนึกถึงคอมพิวเตอร์ที่บ้านครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ลง Windows ก็จะเปิดเครื่องเพื่อทำงานไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ก็เช่นเดียวกันครับ มันต้องการ OS ซึ่งใน iPhone นั้นบริษัทแอปเปิ้ลใช้ OS ที่ชื่อว่า iPhone OS ครับ ในขณะที่บริษัทกูเกิ้ล(Google) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที อีกรายก็ได้ซุ่มพัฒนา OS ที่มีชื่อว่า Android(แอนดรอยด์) OS ขึ้นมาซึ่ง Android(แอนดรอยด์) เวอร์ชั่น 1.0 ได้ถูกปล่อยออกมาใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ 2008

Android เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดย Google และนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open Handset Alliance ทาง Google ได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้นแอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา มาตรฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์มือถือ ลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรีโทรศัพท์เครื่อง แรกที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้คือ HTC Dream ออกจำหน่ายเมื่อ 22 ตุลาคม 2551ความสามารถใหม่ของ แอนดรอยด์ 2.3 ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Near field communication

ประวัติ Android 

           บริษัทแอนดรอยด์ ก่อตั้งขึ้นที่พาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 โดยแอนดี รูบิน (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแดนเจอร์), ริช ไมเนอร์(ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไวลด์ไฟร์คอมมูนิเคชัน)นิก เซียส์ (ซึ่งเคยเป็นรองผู้จัดการที่ทีโมบายล์) และ คริส ไวท์ (หัวหน้าฝ่ายออกแบบและการพัฒนาอินเตอร์เฟซ ที่เว็บทีวี) สำหรับการพัฒนานั้นจากคำพูดของรูบิน “โทรศัพท์มือถือที่มีความฉลาดขึ้นและตระหนักถึงสถานที่ของเจ้าของมากขึ้น”จุดประสงค์แรกของบริษัทคือการพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับกล้องดิจิทัลแต่เมื่อถูกตระหนักว่าไม่ใช่ตลาดที่กว้างพอและต่อมาได้เบี่ยงเบนความพยายามเพื่อที่จะทำระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ตโฟน เพื่อแข่งกับซิมเบียน และ วินโดวส์โมเบิล (ในขณะนั้นไอโฟนยังไม่ได้วางขาย)แม้จะมีประวัติความสำเร็จของผู้ก่อตั้งและพนักงานของบริษัทในช่วงแรกบริษัทแอนดรอยด์ได้ดำเนินการอย่างเงียบๆให้เห็นเพียงว่าเป็นบริษัทที่ผลิตระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือ    

ข้อดีของ Android

1. ความเข้ากันได้ระหว่างมือถือกับระบบ : ด้วยความที่เป็น Open-Source ทำให้ค่ายมือถือสามารถหาทางออกร่วมกันในแง่ข้อกำหนดขั้นต่ำที่จะใช้Android และด้วยความที่เป็น Open-Source จึงมีคนเริ่มดัดแปลงให้ใช้กับNetbook ได้ด้วย

2. ราคา : Open-Source ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้ แถมยังเข้ากันได้กับตัวเครื่องเนื่องจากร่วมกันผลิต ดังนั้นต้นทุนผลิตจึงต่ำ และตัวแอนดรอยด์ (ไม่รวมราคาของเครื่องที่ใช้) ถูกกว่าos ของ iphone

3. เราสามารถพัฒนาเองโดยไม่ต้องส่งคืนไปให้ที่บริษัทแม่ในต่างประเทศ เหมือนเทคโนโลยีอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นระบบเปิด จึงสามารถพัฒนาได้เอง ในส่วนของซอฟต์แวร์ภายในเครื่องนั้น 90% จากต่างประเทศและอีก10% เป็นของคนไทย โดยใช้ platform android ที่สามารถพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างแทบไม่มีขีดจำกัด ตัวพัฒนาโปรแกรมใน android(SDK) นั้นสามารถโหลดมาใช้ได้ฟรีๆ และไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือน iphone ที่เวลาโอนถ่ายข้อมูลระหว่างโทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์ต้องต่อสายและโอนข้อมูล ผ่าน itune เท่านั้น

4. หากเทียบกับ iphone แล้ว Androidเน้นในเรื่องการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย สามารถตกแต่งได้ตามใจชอบมากกว่า

5. สามารถใช้งานด้วยนิ้วได้สะดวกและลื่นไหล

6. สามารถทำงานได้เร็วกว่า windows mobile เร็วพอๆกับ iphone ในมาตรฐานราคา licences ที่เท่ากัน

ข้อเสียของ Android

1. เนื่องจากเป็นน้องใหม่ในตลาด โปรแกรมที่จะใช้ได้กับระบบยังไม่เยอะ มีโปรแกรมเสริมให้เลือกน้อย การพัฒนาอาจจะล่าช้ากว่า commercial software เมื่อระบบพัฒนาถึงจุดๆหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับผู้ใช เนื่องจากผู้ใช้คงไม่ได้อัพเกรดระบบซักเท่าไหร่นัก

2. Process : เราไม่สามารถปิดProcess เองได้ ถ้าเปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมามันจะรันอยู่อย่างนั้นตลอดซึ่งจะทำให้เครื่องช้าลง เรื่อยๆ ต้องมาลงโปรแกรม Task Manager คอยปิด Process ทำให้ยุ่งยากมากขึ้น

3. เมื่อเทียบกับ WindowMobile ในแง่ความแพร่หลายของโปรแกรม, การใช้งานGPS และการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ที่เป็น Windowsแล้ว Android ยังสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งการใช้งานร่วมกับภาษาไทยยังไม่รู้ว่าจะทำได้ดีขนาดไหนอีกด้วย

4. ใช้งานยากเพราะเมนูซับซ้อน ต้องทำความเข้าใจก่อน

5. ต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาจึงจะใช้ฟังก์ชันได้เต็มที่

การพัฒนาเวอร์ชั่นต่างๆของ Android 

Android 1.5 Cupcake (คัพเค้ก)  API Level 3 เปิดตัวเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552


Android 1.6 Donut (โดนัท)  API Level 4 เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552


Android 2.0, 2.0.1, 2.1 Eclair (เอแคลร์) API Level 5, 6, 7 เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552, 3 ธันวาคม 2552, 12 มกราคม 2553


Android 2.2 Froyo (โฟรซเซนโยเกิร์ต)  API Level 8 เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553


Android 2.3, 2.3.3 Gingerbread (ขนมปังขิง)   API Level 9, 10 เปิดตัวเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2553 , 9 กุมภาพันธ์ 2554


Android 3.0, 3.1, 3.2 Honeycomb (รวงผึ้ง)   API Level 11, 12,13 เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554, 10 พฤษภาคม 2554, 15 กรกฎาคม 2554


Android 4.0, 4.0.3 Ice Cream Sandwich (แซนด์วิชไอศกรีม)  API Level 14, 15 เปิดตัวเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2554, 16 ธันวาคม 2554


Android 4.1, 4.2, 4.3 Jelly Bean (เจลลี บีน)  API Level 16, 17, 18 เปิดตัวเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2555, 29 ตุลาคม 2555,24 กรกฎาคม 2556


Android 4.4 KitKat (คิตแคต)  API Level 19, 20


Android 5.0 Lollipop (คิตแคต)  API Level 21 เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2557